วิธีการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการให้ได้ประโยชน์คุ้มค่าที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ด้านการสอนภาษาอังกฤษธุรกิจในหลายปีที่ผ่านมานี้ก็คือ การอบรมเชิงปฏิบัติการหรือเวิร์คช็อปล้วนมีเนื้อหาและ สาระที่แตกต่างกัน การที่จะทำให้โปรแกรมเวิร์คช็อปประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านทักษะของอาจารย์ผู้สอน ประโยชน์ในการฝึกอบรม เนื้อหาที่น่าสนใจ และ การประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ

เนื่องจากเวิร์คช็อปเป็นหลักสูตรระยะสั้น จึงควรจะสั้น กระชับ และ  ได้ใจความ อีกทั้ง เนื้อหาที่อัดแน่นภายในวันเดียว ควรเป็นเนื้อหาที่น่าสนใจ และ ใช้สื่อ หรือ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนการสอนที่หลากหลาย

หากโปรแกรมเวิร์คช็อปที่ออกแบบมาไม่ดีเพียงพอก็จะทำให้บริษัทเสียเวลาและค่าใช้จ่าย แต่หากโปรแกรมถูกออกแบบมาดี ก็จะเป็นการเรียนที่สนุกสนาน ได้ความรู้ แบ่งปันแนวความคิดใหม่ๆ และ พัฒนาทักษะของผู้ฝึกอบรมได้เป็นอย่างดี

ก่อนที่จะเริ่มโปรแกรมเวิร์คช็อป

ให้ความช่วยเหลือด้านการออกแบบเวิร์คช็อปที่มีประสิทธิภาพแก่สถาบันผู้จัดการฝึกอบรม: เวิร์คช็อบที่ดีที่สุดก็คือ ออกแบบหลักสูตรได้ตรงกับความต้องการ และ สถานการณ์ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ก่อนอื่นต้องมั่นใจว่าคุณได้เลือกผู้จัดที่สามารถปรับหลักสูตรได้อย่างเหมาะสมตามแต่สถานการณ์ ซึ่งแน่นอนว่า คุณจะต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับความต้องการ และ วัตถุประสงค์ในการจัดก่อน ผู้จัดจึงทำการออกแบบได้ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการที่จะจัดเวิร์คช็อปเพื่อพัฒนาทักษะด้านการเขียนภาษาอังกฤษธุรกิจให้กับพนักงานในแผนกบัญชี คุณควรจะแจ้งข้อมูลที่สำคัญ และ จำเป็นให้กับสถาบันผู้จัดทราบว่า ต้องการจะพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารประเภทใด และ เพื่อใครบ้าง เช่น พนักงานทำเงินเดือน พนักงานทำบัญชีรายรับรายจ่าย พนักงานต้องทำงานในประเทศไทย หรือ ต่างประเทศ หรือว่าเป็นผู้ทำรายงานประจำปี (ตัวอย่างดังกล่าวจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการออกแบบหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น)

ไม่ควรนับรวมพนักงานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการฝึกอบรม: เนื่องจากทุกฝ่ายต่างก็ต้องการให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดี และ มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้สอดคล้องกับงบประมาณในการฝึกอบรม แต่ประโยชน์ และ คุณค่าของเวิร์คช็อปจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร หากมีการเพิ่มจำนวนนักเรียนที่มีความแตกต่างด้านระดับภาษา และ ลักษณะงาน เกิน กว่า 25 คนขึ้นไป หากคุณยืนยันที่จะทำเช่นนี้ คุณค่าของการฝึกอบรมของแต่ละคนก็จะลดลง เนื่องจากบางคนมีความพร้อมน้อยกว่าคนอื่นในการทำกิจกรรม และหากคุณต้องการที่จัดเวิร์คช็อปเพื่อพัฒนาทักษะเฉพาะให้กับกลุ่มมีลักษณะงานเหมือนกัน คุณจำเป็นต้องพิจารณาทักษะด้านภาษาของผู้เข้าร่วมแต่ละคนด้วยเช่นกัน

การเลือกห้องเรียนที่เหมาะสม: จะทำให้ได้โปรแกรมเวิร์คช็อปที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้เข้าร่วมจำเป็นต้องลุกขึ้นทำกิจกรรมไปรอบๆ ห้องเรียน ดังนั้นต้องมีพื้นที่ที่กว้างขวางเพียงพอ อีกทั้งผู้เข้าร่วมต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมๆ ละ 3-4 คนต่อกลุ่ม จึงควรใช้โต๊ะที่มีขนาดเล็กทั่วๆไป แทนที่จะใช้โต๊ะตัวใหญ่ โปรแกรมเวิร์คช็อปที่มุ่งเน้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมจะนำเสนอสื่อการสอนที่หลากหลาย ดังนั้นควรมี โปรเจคเตอร์ จอโปรเจคเตอร์ และ ระบบเสียงที่ดีพอ รวมทั้ง flipcharts หรือ กระดานไวท์บอร์ดที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เพื่อให้นักเรียนแต่ละกลุ่มได้ใช้ทำงานร่วมกัน อันดับสุดท้ายคือ สัญญาณอินเตอร์เน็ตไวฟายที่สามารถรองรับบทเรียนรูปแบบใหม่ๆ ในทุกระดับได้ เช่น สามารถรองรับ และ แสดงผล ตั้งแต่ระดับ งานเขียนของนักเรียนทุกคนบนหน้าจอโปรเจคเตอร์ได้พร้อมๆ กัน  ไปจนถึง การแสดงผลของจำนวนที่นักเรียนตอบคำถามในเวลาพร้อมๆกัน เป็นต้น หากคุณไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมเหล่านี้ในที่ทำงาน ก็สามารถจัดเวิร์คช็อปนอกสถานที่ได้

ให้ผู้เข้าร่วมได้รับการทดสอบก่อนทำการฝึกอบรม: หากคุณต้องการให้มีการทดสอบเพื่อดูผลจากการฝึกอบรม คุณจำเป็นต้องทดสอบความรู้ความเข้าใจของผู้เข้าร่วมทั้งก่อนและหลังการฝึกอบรม ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สามารถทำได้ทางออนไลน์ ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรมเวิร์คช็อปของเวนเทจทุกโปรแกรม โดยก่อนที่จะเริ่มเวิร์คช็อป เราจะให้ผู้เข้าร่วมทุกคนเข้าไปในระบบการบริหารจัดการการเรียนรู้ทางออนไลน์ของเรา (LMS) เพื่อทำการทดสอบก่อนเรียน หลังจากนั้น ให้ทุกคนทำกิจกรรมเพิ่มเติมทางออนไลน์ และ ทำการทดสอบอีกครั้งหลังการฝึกอบรม

 

 

ในระหว่างการเรียนเวิร์คช็อป

เวิร์คช็อปที่ดีคือ สนุกสนานและได้ความรู้: ผู้เข้าร่วมไม่ควรมีความรู้สึกว่ากำลังนั่งจดเลคเชอร์อยู่ ดังนั้น เนื้อหาควรแบ่งเป็นช่วงสั้นๆ (ประมาณ 4-5 ช่วงต่อวัน) และ แต่ละช่วงควรจบด้วยการให้ผู้เข้าร่วมนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว

 

 

เวิร์คช็อปที่ดีจะให้ความรู้สึกมีส่วนร่วม: คุณคงไม่อยากให้ผู้เข้าร่วมเริ่มต้นโดยการเปิดหนังสือตลอดทั้งวัน ทุกคนควรสนใจไปที่ตัวอาจารย์ผู้สอน ที่มีเทคนิคการสอนที่หลากหลาย และ กระตุ้นความสนใจอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งมีการใช้สื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง การมีส่วนร่วมมากที่สุดก็คือการให้ทุกคนใช้อินเตอร์เน็ตไวฟายเพื่อทำกิจกรรม และ มีการแสดงผลทางหน้าจอโปรเจคเตอร์พร้อมๆ กัน

หลังจากเรียนจบโปรแกรม

ขยายขีดความจำโดยการติดตามผลด้านกิจกรรมต่างๆ: เคยมีผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรมท่านหนึ่งกล่าวกับผมหลังจากที่จัดเวิร์คช็อปเสร็จแล้วว่า “ นี่เป็นเวิร์คช็อปที่เยี่ยมมาก แต่ฉันสงสัยว่าพวกเขาจะจำได้สักกี่เดือนกัน” ซึ่งนั่นเป็นคำถามที่ดี เนื้อหาในเวิร์คช็อปไม่ได้เอื้อให้ผู้เข้าร่วมสามารถทบทวนบทเรียนได้ อาจทำให้ผู้เรียนรู้สึก”ติดขัด”ได้ วิธีที่จะแก้ปัญหาก็คือ ติดตามผลของการทำกิจกรรมหลังจากการฝึกเสร็จสิ้นลง  ซึ่งโปรแกรมเวิร์คช็อปของเวนเทจสามารถทำได้โดยการให้ผู้เข้าร่วมได้ทบทวนบทเรียนทางออนไลน์เพิ่มเติม และ เพิ่มกิจกรรมในระบบ (LMS) ซึ่งผู้เข้าร่วมสามารถทำกิจกรรมต่อไปได้อีกประมาณ 3-4 สัปดาห์ หลักจากจบเวิร์คช็อปแล้ว ในตอนท้ายของกิจกรรม ผู้เข้าร่วมจะได้รับการทดสอบทางออนไลน์เพื่อประเมินผล ซึ่งจะนำคะแนนไปเปรียบเทียบกับการทดสอบก่อนเรียน ซึ่งการสอบนี้จะห่างกัน 1 เดือนหลังจากอบรมเวิร์คช็อปเสร็จ ทำให้ได้ผลการฝึกอบรมที่แท้จริง ซึ่งดีกว่าการประเมินผลทันทีหลังจากที่ฝึกอบรมเสร็จ

ผมหว่าว่าข้อสังเกตและเคล็ดลับเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับคุณไม่มากก็น้อย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อผมได้ที่ 

 

Sean Thomas

Business Development Mgr

0819046804

sean@vantage-siam.com

Share
 
 
© Copyright 2011 Vantage Siam Co., Ltd. All rights reserved. Power by Wewebplus